สวมพระคริสต์

โรส เทอร์เนอร์นักจิตวิทยาแฟชั่นแห่งสถาบันแฟชั่นลอนดอน ได้ศึกษาผลกระทบของเสื้อผ้าที่มีต่อวิธีคิด พฤติกรรม และแม้แต่การที่เสื้อผ้าส่งผลต่ออารมณ์ของผู้คน เพราะเสื้อผ้าเป็นสิ่งที่ใกล้ชิดร่างกายเราที่สุด จึงเปรียบเสมือน “ผิวหนังชั้นที่สอง” และเตรียมเราให้พร้อมสำหรับทุกเรื่องในแต่ละวัน ตัวอย่างเช่น การแต่งกายที่เหมาะสมกับงาน “ช่วยสร้างแรงจูงใจและสมาธิ” ในที่ทำงาน และการสวมเครื่องแต่งกายที่มาจากสมัยเก่าที่มีคุณค่าทางจิตใจ อาจทำให้รู้สึกสบายใจในสถานการณ์ที่ตึงเครียดได้

ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยานี้ให้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งต่อคำเผยพระวจนะของอิสยาห์เรื่องผลแห่งการสละพระชนม์ของพระเยซู ท่านบันทึกถึงการปลดปล่อยชาวยิวจากการเป็นเชลยในบาบิโลนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยรับรองว่าวันหนึ่งพวกเขาจะ “สร้างสิ่งปรักหักพังโบราณขึ้นใหม่ เขาจะซ่อมเสริมที่ทิ้งร้างแต่เก่าก่อนขึ้น” (อสย.61:4) ในวันนั้นพวกเขาจะสวม “เสื้อแห่งความชอบธรรม” (ข้อ 10)

คำเผยพระวจะของอิสยาห์เป็นจริงในส่วนแรกเมื่อคนในชาติกลับคืนสู่กรุงเยรูซาเล็ม และสำเร็จสมบูรณ์เมื่อ “พระเจ้าได้ทรงกระทำ [พระเยซู ] ...ให้บาปเพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์” (2 คร.5:21) ความชอบธรรมนั้นอธิบายให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ถูกต้องของเรากับพระเจ้าเมื่อเราวางใจในการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ พระเจ้าไม่ได้เห็นว่าเราสวมเสื้อแห่งความละอายหรือน่าขายหน้าเพราะบาปของเรา แต่ทรงเห็นเราสวมเสื้อแห่งความชอบธรรมตลอดเป็นนิตย์ของพระเยซู ซึ่งเป็น “ผิวหนังชั้นที่สอง” ที่ปกคลุมเราด้วยความชื่นชมยินดีในวันนี้และชั่วนิรันดร์

ช่วงเวลาหยุดพัก

เจฟ กัลโลเวย์ อดีตนักกีฬาโอลิมปิกและเป็นโค้ชสอนการวิ่ง เขาสอนวิธีฝึกวิ่งมาราธอนที่ขัดกับสัญชาตญาณคนทั่วไป ทั้งนักแข่งมาราธอนหน้าใหม่และผู้มีประสบการณ์ล้วนประหลาดใจเมื่อรู้ว่า เขาสนับสนุนวิธี “วิ่ง/เดิน” คือ การวิ่งในช่วงนาทีที่กำหนดสลับกับการเดินช่วงสั้นๆ สมมุติฐานของวิธีนี้คือการสลับเดินช่วงสั้นๆทำให้ร่างกายได้พักชั่วคราว และช่วยให้นักวิ่งจบการ
แข่งขันเร็วกว่าการที่พวกเขาวิ่งอย่างเดียวตลอดระยะทาง 42 กิโลเมตร

ความสำคัญของการหยุดพักไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องการวิ่ง การหยุดพักช่วยให้เรามีความทรหดอดทนในระยะยาวซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นของชีวิต และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกล่าวถึงในตลอดพระคัมภีร์ เริ่มจากพระธรรมอพยพ ในพันธสัญญาเดิมนั้นการหยุดพักเป็นการทำตามแบบของพระเจ้าในช่วงเวลาของการทรงสร้าง คือ ทำการงานทั้งสิ้นในหกวัน “แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตของพระเจ้าของเจ้า” (อพย.20:10) เพราะพระเจ้าทรง “สร้างฟ้าและแผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก” (ข้อ 11)

ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู ไม่มีการกำหนดอย่างชัดเจนว่าเราต้องพักบ่อยแค่ไหน (รม.14:5-6; คส.2:16-17) การหยุดพักในรูปแบบและช่วงเวลาที่เราพอใจนั้นก็เพื่อเป็นการฟื้นฟู การเลือกที่จะหยุดพักยังเป็นการแสดงออกถึงการวางใจในพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมสิ่งที่เราต้องการอย่างสัตย์ซื่อด้วย เราไม่สามารถและไม่จำเป็นที่จะต้องวิ่งตลอดเวลา

เหวี่ยงเบ็ดหาเพื่อน

แพตตี้ใช้เวลาช่วงบ่ายที่ฝั่งแม่น้ำใกล้บ้าน เธอเหวี่ยงเบ็ดตกปลาที่เกี่ยวเหยื่อไว้ลงไปในน้ำ เธอเพิ่งย้ายมาอยู่บริเวณนี้ไม่นาน เธอจึงไม่ได้หวังที่จะจับปลาแต่กำลังมองหาเพื่อนใหม่ สายเบ็ดของเธอไม่ได้เกี่ยวตัวหนอนหรือเหยื่อล่อทั่วไป แต่เธอใช้คันเบ็ดแข็งแรงพิเศษสำหรับตกปลาขนาดใหญ่เพื่อส่งห่อคุกกี้ให้กับผู้คนที่ล่องแพไปตามแม่น้ำในช่วงฤดูร้อน เธอใช้วิธีที่สร้างสรรค์นี้เพื่อพบปะเพื่อนบ้านใหม่ๆ ซึ่งทุกคนก็ดูเหมือนจะชอบขนมหวานนี้!

แพตตี้ใช้วิธี “เหวี่ยงเบ็ดหาเพื่อน” จริงๆแม้พระเยซูจะไม่ได้หมายความตามตัวอักษรเช่นนี้ในตอนที่ทรงเรียกเปโตรและอันดรูว์ให้ติดตามพระองค์ตลอดชีวิต สองคนพี่น้องเป็นชาวประมงที่ขยันขันแข็งกำลังทอดแหในทะเลกาลิลี พระเยซูทรงขัดจังหวะการทำงานของพวกเขาด้วยการทรงเรียกให้ติดตามพระองค์ พระองค์ตรัสว่าจะทรงตั้งพวกเขาให้เป็น “ผู้หาคน” แทนการหาปลา (มธ.4:19) หลังจากนั้นไม่นานพระองค์ทรงเรียกชาวประมงอีกสองคนคือยากอบและยอห์นด้วย พวกเขาทั้งหมดทิ้งอวนและเรือทันทีเพื่อเดินทางไปกับพระเยซู

ในทำนองเดียวกันกับชาวประมงที่กลายมาเป็นสาวกกลุ่มแรก พระเยซูคริสต์ก็ทรงเรียกให้เราติดตามพระองค์และใส่ใจในสิ่งอันเป็นนิรันดร์ คือ ชีวิตฝ่ายวิญญาณของผู้ที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วย เราสามารถบอกกับคนรอบข้างเราถึงสิ่งที่ให้ความอิ่มใจได้อย่างแท้จริง นั่นคือความหวังอันยั่งยืนของชีวิตที่มีในพระเยซู (ยน.4:13-14)

จากปากของ...

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณสามารถเข้าใจสิ่งที่สุนัขของคุณกำลังพูดได้ เทคโนโลยีใหม่ใช้การจำแนก “เสียงเห่า” เพื่อช่วยบอกความรู้สึกของสุนัขเมื่อพวกมันเห่า ปลอกคอเทคโนโลยีขั้นสูงแปลเสียงเห่าของสุนัขโดยใช้ฐานข้อมูลจากเสียงเห่ามากกว่าหมื่นเสียง เพื่อจำแนกความรู้สึกท่ีพวกมันกำลังแสดงออก แม้ว่าปลอกคอจะไม่สามารถแปลเป็นคำพูดได้ แต่ก็ได้ช่วยสร้างความเข้าใจระหว่างสัตว์เลี้ยงกับเจ้าของมากขึ้น

พระเจ้าทรงใช้สัตว์เพื่อเรียกความสนใจของบาลาอัมเช่นกัน บาลาอัมนั่งลาไปโมอับเพื่อตอบสนองต่อพระดำรัสของพระเจ้าที่สั่งให้ “ไป...แต่เจ้าจงกระทำตามที่เราสั่งเจ้าเท่านั้น” (กดว.22:20) ลาหยุดเดินเมื่อเห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้า “ถือดาบยืนอยู่ในหนทาง” แต่บาลาอัมมองไม่เห็น (ข้อ 23) บาลาอัมพยายามที่จะไปต่อ พระเจ้าจึงให้ลาพูดเป็นภาษามนุษย์ เมื่อตาของบาลาอัมถูกเปิดให้มองเห็นอันตรายแล้ว “บาลาอัมก็ก้มศีรษะซบหน้าลงกราบ” (ข้อ 31) และยอมรับว่าตั้งใจอยากที่จะได้รับรางวัลหรือได้สาปแช่งคนของพระเจ้าซึ่งตรงข้ามกับพระดำรัสของพระองค์ (ข้อ 15-18, 37-38) เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำบาป เพราะข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านยืนอยู่ในหนทางกั้นข้าพเจ้า” (ข้อ 34)

ขอให้เราเอาใจใส่ในคำชี้แนะที่พระเจ้าได้ประทานแก่เราในพระคัมภีร์ และประทานผ่านการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ รวมถึงคำปรึกษาด้วยสติปัญญาจากผู้อื่น ไม่ใช่แค่เพียงภายนอกเท่านั้น แต่ภายในใจด้วย

ความสว่างของพระคริสต์

ฉันกับสามีชื่นชมยินดีทุกครั้งที่ได้ไปนมัสการที่คริสตจักรของเราในคืนก่อนวันคริสต์มาส ในช่วงปีแรกๆของชีวิตแต่งงาน เรามีธรรมเนียมพิเศษอย่างหนึ่ง โดยหลังจากจบการนมัสการเราจะสวมเสื้อผ้าที่อบอุ่นเพื่อเดินป่าขึ้นไปบนเนินเขาใกล้ๆที่ซึ่งเราร้อยดวงไฟส่องสว่าง 350 ดวงเป็นรูปดาวไว้บนเสาสูง บ่อยครั้งท่ามกลางหิมะเราจะพูดคุยกันเบาๆที่นั่นเพื่อรำลึกถึงการทรงบังเกิดอันอัศจรรย์ของพระเยซูขณะที่มองลงไปยังตัวเมือง ในเวลาเดียวกันจากหุบเขาเบื้องล่างผู้คนจำนวนมากในเมืองก็เงยหน้าขึ้นมองดวงดาวสว่างไสวที่ร้อยเรียงไว้้

ดาวดวงนั้นเป็นเครื่องเตือนใจถึงการมาบังเกิดของพระผู้ช่วยให้รอด พระคัมภีร์กล่าวถึงโหราจารย์ “จากทิศตะวันออก” มายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อเสาะหา “กุมารผู้ที่บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชาวยิว” (มธ.2:1-2) พวกเขาเฝ้าดูท้องฟ้าและได้เห็นดวงดาว “ปรากฏขึ้น” (ข้อ 2) การเดินทางนำพวกเขาออกจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังบ้านเบธเลเฮม ดาวนั้น “ได้นำหน้าเขาไป จนมาหยุดอยู่เหนือสถานที่ที่กุมารอยู่นั้น” (ข้อ 9) ที่นั่นพวกเขา “กราบถวายนมัสการกุมารนั้น” (ข้อ 11)

พระคริสต์ทรงเป็นแหล่งแห่งความสว่างในชีวิตเราทั้งในเชิงคำอุปมาเปรียบเทียบ (ในฐานะผู้นำทางเรา) และตามความเป็นจริงในฐานะที่ทรงเป็นพระผู้สร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวในท้องฟ้า (คส.1:15-16) เช่นเดียวกับที่โหราจารย์มี “ความยินดียิ่งนัก” เมื่อพวกเขาเห็นดวงดาวของพระองค์ (มธ. 2:10) ความยินดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราก็คือการได้รู้จักพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดที่ลงมาจากสวรรค์เพื่อสถิตท่ามกลางเรา “เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์” (ยน. 1:14)!

หนุนใจกันในพระคริสต์

ครูในโรงเรียนที่รัฐอินเดียน่า แนะนำให้นักเรียนของเธอเขียนข้อความหนุนใจและสร้างแรงบันดาลใจแก่เพื่อนร่วมชั้น หลายวันต่อมาเมื่อเกิดโศกนาฏกรรมในโรงเรียนแห่งหนึ่งที่อยู่อีกด้านของประเทศ ข้อความของพวกเขาช่วยหนุนใจเพื่อนนักเรียนในยามที่ต้องรับมือกับความเจ็บปวดและความกลัวว่าอาจเกิดเหตุการณ์กับพวกเขาได้เช่นกัน

การหนุนใจและความห่วงใยซึ่งกันและกันอยู่ในใจของเปาโลเช่นกัน เมื่อท่านเขียนจดหมายถึงผู้เชื่อในเมืองเธสะโลนิกา คนเหล่านั้นสูญเสียเพื่อนๆ และเปาโลกำชับพวกเขาให้หวังใจในคำสัญญาของพระเยซูที่จะเสด็จกลับมาและนำบรรดาคนที่พวกเขารักกลับสู่ชีวิตอีกครั้ง (1ธส.4:14) แม้พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใด แต่เปาโลเตือนว่าในฐานะผู้เชื่อพวกเขาไม่จำเป็นต้องรอคอยด้วยความกลัวการพิพากษาของพระเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จกลับมา (5:9) แต่จะรอคอยด้วยความมั่นใจในเรื่องชีวิตอนาคตกับพระองค์ และในระหว่างนั้น “จงหนุนใจกันและต่างคนต่างจงก่อกันขึ้น” (ข้อ 11)

เมื่อเราประสบกับการสูญเสียอันเจ็บปวดหรือเหตุการณ์ร้ายแรงที่ไม่ทันตั้งตัว เป็นเรื่องง่ายที่จะถูกครอบงำด้วยความกลัวและความโศกเศร้า แต่ถ้อยคำของเปาโลเป็นประโยชน์กับเราในปัจจุบันเหมือนในเวลานั้นที่ได้เขียนไว้ ขอให้เรารอคอยด้วยความหวังว่าพระคริสต์จะทรงฟื้นฟูทุกสิ่ง และในระหว่างนั้นเราสามารถหนุนใจกันและกันได้ ทั้งด้วยข้อความ คำพูด การปรนนิบัติกัน และการสวมกอด

ส่งมอบความช่วยเหลือ

เมื่อหน้าที่การงานนำพาเฮเธอร์ไปยังบ้านของทิมเพื่อส่งอาหารให้แก่เขา เขาขอให้เธอช่วยแกะปมที่มัดถุงอาหาร ทิมล้มป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองเมื่อสองสามปีก่อนทำให้ไม่สามารถแก้ปมด้วยตัวเองได้อีกแล้ว เฮเธอร์ยินดีช่วยอย่างยิ่ง ในตลอดทั้งวันนั้นเฮเธอร์คิดเรื่องทิมหลายครั้ง และเธอรู้สึกอยากจะเตรียมของบางอย่างให้แก่เขา ต่อมาเมื่อทิมพบว่าเฮเธอร์นำโกโก้ร้อนและผ้าห่มสีแดงมาวางไว้ที่หน้าประตูบ้านของเขาพร้อมกับข้อความให้กำลังใจ เขาตื้นตันใจจนน้ำตาไหล

การส่งอาหารของเฮเธอร์มีความหมายมากยิ่งกว่าที่เธอคิดไว้แต่แรก เช่นเดียวกับตอนที่เจสซีส่งดาวิดบุตรชายคนเล็กของเขาให้นำอาหารไปให้กับพวกพี่ชายขณะที่คนอิสราเอล “​วาง​แนว​ไว้​ต่อสู้​กับ​คน​ฟีลิสเตีย​” (1 ซมอ.17:2) เมื่อดาวิดมาถึงพร้อมกับเสบียงทั้งขนมปังและเนยแข็ง ท่านรู้ว่าโกลิอัททำให้คนของพระเจ้าหวาดกลัวด้วยการกล่าวท้าทายพวกเขาทุกวัน (ข้อ 8-10, 16, 24) ดาวิดรู้สึกโกรธที่โกลิอัทท้าท้าย “กองทัพ​ของ​พระ​เจ้า​” (ข้อ 26) และต้องการจะตอบโต้ ท่านทูลกษัตริย์ซาอูลว่า “อย่า​ให้​จิตใจ​ของ​ผู้ใด​ฝ่อ​ไป​เพราะ​ชาย​คน​นั้น​เลย ผู้รับ​ใช้​ของ​ฝ่า​พระ​บาท​จะ​ไป​สู้​รบ​กับ​คน​ฟีลิสเตีย​คน​นี้” (ข้อ 32)

บางครั้งพระเจ้าก็ทรงใช้สถานการณ์ในชีวิตประจำวันของเราเพื่อนำเราไปยังที่ที่พระองค์ทรงต้องการใช้เรา ขอให้เราเปิดตา (และใจ) เพื่อจะเห็นว่าพระองค์ทรงต้องการให้เรารับใช้ใครสักคนในที่ใดและอย่างไร

รับใช้ด้วยความรัก

เมื่อคริสตัลเริ่มทำงานที่ร้านกาแฟเวอร์จิเนียครั้งแรกนั้น เธอมีลูกค้าชื่ออิบบี้ เนื่องจากอิบบี้มีความบกพร่องทางการได้ยิน เขาจึงสั่งด้วยการพิมพ์บนมือถือ หลังจากคริสตัลรู้ว่าอิบบี้เป็นลูกค้าประจำ เธอจึงตั้งใจจะบริการเขาให้ดียิ่งขึ้นด้วยการเรียนภาษามือเพิ่มเพื่อที่เขาจะสามารถสั่งออเดอร์ได้โดยไม่ต้องเขียนโน้ต

ด้วยการกระทำที่เล็กน้อยนั้น คริสตัลได้แสดงให้อิบบี้เห็นถึงความรักและการรับใช้ที่เปโตรหนุนใจให้เราทำให้แก่กันและกัน ในจดหมายที่มีถึงผู้เชื่อพระเยซูที่กระจัดกระจายและถูกขับไล่ไปนั้น อัครสาวกบอกให้พวกเขา “รักซึ่งกันและกันให้มาก” และใช้ของประทาน “เพื่อประโยชน์แก่กันและกัน” (1 ปต.4:8,10) ทักษะและความสามารถที่พระเจ้ามอบให้นั้นเป็นของประทานที่เราใช้เพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ และเมื่อเราทำเช่นนั้น คำพูดและการกระทำของเราจะนำมาซึ่งพระเกียรติแด่พระเจ้า

คำพูดของเปโตรมีความสำคัญเป็นพิเศษต่อคนเหล่านั้นที่ท่านเขียนถึง เพราะพวกเขากำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดและโดดเดี่ยว ท่านหนุนใจให้พวกเขารับใช้ซึ่งกันและกันในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากเพื่อจะเสริมกำลังกันขึ้นขณะเผชิญการทดลอง แม้เราจะไม่รู้ถึงความเจ็บปวดที่อีกคนหนึ่งกำลังเผชิญ แต่พระเจ้าทรงช่วยให้เราแสดงความเห็นอกเห็นใจและรับใช้กันและกันด้วยความเมตตาและใจยินดีผ่านทางคำพูด สติปัญญา และความสามารถได้ ขอพระเจ้าทรงช่วยให้เรารับใช้ผู้อื่นเพื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงความรักของพระองค์

วิ่งหนีจากพระเจ้า

จูลี่และลิซพายเรือคายัคออกนอกชายฝั่งแคลิฟอร์เนียเพื่อมองหาวาฬหลังค่อม เป็นที่รู้กันว่าวาฬหลังค่อมจะว่ายอยู่ใกล้ผิวน้ำ ทำให้มองเห็นพวกมันได้ง่าย หญิงสองคนนี้ต้องพบกับเรื่องประหลาดใจที่สุดในชีวิตเมื่อวาฬตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำใต้เรือของพวกเธอพอดี ผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งจับภาพการเผชิญหน้าซึ่งแสดงให้เห็นปากวาฬขนาดใหญ่ที่กำลังฮุบพวกเธอและเรือคายัค หลังจากจมหายลงไปใต้น้ำครู่หนึ่ง พวกเธอก็หนีออกมาได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ

ประสบการณ์ของพวกเธอทำให้เห็นภาพเรื่องราวในพระคัมภีร์ของผู้เผยพระวจนะโยนาห์ที่ถูก “ปลามหึมา” ตัวหนึ่งกลืนเข้าไป” (ยนา.1:17) พระเจ้าทรงใช้ให้ท่านไปร้องกล่าวโทษชาวเมืองนีนะเวห์ แต่เพราะพวกเขาปฏิเสธพระเจ้า โยนาห์จึงไม่รู้สึกว่าพวกเขาคู่ควรที่จะได้รับการอภัยจากพระองค์ แทนที่จะเชื่อฟังท่านกลับหนีและไปขึ้นเรือ พระเจ้าทรงให้เกิดพายุใหญ่ และท่านก็ถูกจับโยนลงไปในทะเล

พระเจ้าทรงจัดเตรียมหนทางช่วยชีวิตโยนาห์ให้รอดจากท้องทะเลลึก ทรงไว้ชีวิตท่านจากผลการกระทำที่เลวร้ายยิ่งกว่าของท่าน โยนาห์ “ร้องทุกข์ต่อพระเจ้า” และพระองค์ทรงฟัง (2:2) หลังจากที่โยนาห์ยอมรับผิดและแสดงออกถึงการสรรเสริญและรับรู้ถึงความประเสริฐของพระเจ้า พระเจ้าจึงตรัสสั่งให้ปลาสำรอกท่าน “บนแผ่นดินแห้ง” (ข้อ 10)

โดยพระคุณของพระเจ้า เมื่อเรายอมรับในความบาปที่มีและสำแดงความเชื่อในการเสียสละของพระเยซู เราก็รอดพ้นจากความตายฝ่ายวิญญาณที่เราสมควรจะได้รับ และได้รับประสบการณ์ของชีวิตใหม่ผ่านทางพระองค์

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา